เพื่อเห็นภาพชัดมากยิ่งขึ้นในการลงทุนแบบเฉพาะเจาะจง หรือแบบ Thematic ขอนำเสนอหลักการคร่าวๆ ด้วยเกณฑ์ 2 ข้อง่ายๆ คือ
● คุมความอ้วนของธีม ไม่ควรมีน้ำหนักของกองทุนหุ้นซึ่งเป็นสินทรัพย์เสี่ยง แบบเฉพาะเจาะจง หรือ Thematic มากจนเกินไป ที่ประมาณ 30% ของพอร์ตทั้งหมด เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว อาจทำให้พอร์ตการลงทุนเสี่ยงสูงมากจนเกินไป
● จัดสรรตามความเชื่อและชื่นชอบ
○ ชอบ/เชื่อมากลงทุน 6-7% พอร์ตต่อธีม
○ กลางๆ เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง 5% พอร์ต
○ ชอบ/เชื่อน้อย แต่อยากลอง ลงทุนแค่ 3-4% พอร์ตต่อธีม
นอกจากนี้ คำถามสำคัญที่มักตามมาต่อเนื่องจากการกระจายการลงทุนก็คือ แล้วเลือกกองทุนอย่างไรให้เหมาะสมกับตนเอง ในที่นี้สามารถแบ่งออกได้โดยง่าย 3 แบบด้วยกันคือ
● เน้นค่าธรรมเนียมถูก แต่กองทุนสามารถสร้างผลตอบแทนได้ตามสิ่งที่ชอบ จะแนะนำให้เลือกกองทุน Passive ซึ่งหมายถึงการบริหารแบบตั้งใจให้ผลตอบแทนของกองทุนนั้นๆ ล้อไปกับดัชนีเปรียบเทียบ จุดเด่นคือค่าธรรมเนียมที่ถูก ลดโอกาสการ underperform หรือให้ผลตอบแทนที่ต่ำกว่าในระยะยาว แต่ในขณะเดียวกันก็มีข้อเสีย เพราะกองทุนต้องการเพียงเคลื่อนไหวล้อไปกับดัชนีเปรียบเทียบเท่านั้น ทำให้โอกาสที่จะ Outperform หรือให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าย่อมเกิดขึ้นได้ยาก
● อยากเอาชนะ เลือกกองทุน Active กองทุนประเภทนี้ มีจุดประสงค์หลักคือ การทำผลตอบแทนให้เหนือกว่า เพราะฉะนั้นแล้ว สิ่งที่ตามมาคือ หากผู้จัดการกองทุน สามารถทำตามจุดประสงค์นั้นได้ กองทุนก็จะสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า แต่แน่นอนว่าก็มีโอกาสอีกเช่นกันที่ผู้จัดการกองทุนอาจทำพลาด หรือลงทุนไม่ถูกจังหวะ ก็อาจ Underperform หรือให้ผลตอบแทนที่น้อยกว่าดัชนีเปรียบเทียบได้เช่นกัน เนื่องจากกองทุนกลุ่มนี้จะมีการศึกษาและวิเคราะห์ที่ลึกซึ้งกว่า ทำให้กองทุนกลุ่มนี้มีแนวโน้มค่าธรรมเนียมที่สูงกว่า และหากกองทุน Underperform อาจส่งผลลบต่อผลตอบแทนในระยะยาวได้ถึง 2 ต่อเลยทีเดียว ดังนั้นการเลือกกองทุน Active นี้จึงเหมาะกับนักลงทุนที่อาจศึกษาข้อมูลมามากกว่า หรือรับความเสี่ยงได้มากกว่า
● สายสมดุล คือการเลือกกองทุนที่มีความ Active แต่เคลื่อนไหวคล้ายคลึงกับดัชนีเปรียบเทียบที่เราชอบอยู่ ซึ่งสามารถสังเกตได้จาก การคัดเลือกสินทรัพย์เข้าลงทุน จะมีสัดส่วนใกล้เคียงกับดัชนีเปรียบเทียบมาก จะผิดเพี้ยนไปจากดัชนีเปรียบเทียบน้อย เพื่อให้มั่นใจว่ากองทุนจะเคลื่อนไหวคล้าย แต่มีโอกาสเอาชนะได้
เมื่อเราผ่านการจัดพอร์ตตามความชอบ เลือกกองทุนที่เหมาะสมกับตนเองแล้ว สำคัญต่อมาก็คือ การ Rebalance และการ Revisit เพื่อให้มั่นใจได้ว่าพอร์ตจะเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว
การ Rebalance คือการปรับสัดส่วนการลงทุนให้กลับสู่สิ่งที่ตั้งใจไว้เสมอ เช่น กำหนดให้กองทุนหุ้นทั้งหมดนั้นมีสัดส่วนที่ 60% ของพอร์ต และกองทุนตราสารหนี้ 40% ของพอร์ต แต่เมื่อเวลาผ่านไป 1 ปี ผลปรากฏว่ากองทุนหุ้นให้ผลตอบแทน 20% ขณะที่กองทุนตราสารหนี้ให้ผลตอบแทนเพียง 2% จะส่งผลให้สัดส่วนการลงทุนนั้นผิดเพี้ยนไปจากที่ตั้งใจเอาไว้ กลายเป็น 63.8% และ 36.2% ตามลำดับ ผู้ลงทุนควรที่จะขายส่วนที่เกินออก และเข้าไปซื้อในส่วนที่ขาดแทน เพื่อให้สัดส่วนของกองทุนหุ้นนั้นกลับมาสู่ระดับที่ตั้งใจไว้อีกครั้ง และไม่ให้เป็นการรับความเสี่ยงมากเกินไป หรือในกรณีตรงกันข้าม หากกองทุนหุ้นขาดทุนมาก ก็จะเป็นการเกลี่ยจากกองทุนตราสารหนี้เข้าลงทุนในกองทุนหุ้นที่ขาดทุนหนักกว่า ซึ่งเป็นการถัวเฉลี่ยต้นทุนได้
ส่วนการ Revisit คือการติดตามสถานการณ์ของสินทรัพย์ หรือกองทุนที่ลงทุนว่ายังมีอนาคต หรือมีโอกาสเติบโตหรือไม่ เช่น พิจารณาจากแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจของประเทศนั้นๆ ในระยะยาว พิจารณาจากแนวโน้มไลฟ์สไตล์ของประชาชนว่าเหมาะสมกับธีมที่เราเลือกหรือไม่ เมื่อเห็นภาพแล้วว่ายังเหมาะสม ยังมีโอกาสการเติบโต ก็สามารถลงทุนต่อได้ แต่หากพิจารณาแล้วว่าโอกาสเติบโต โอกาสให้ผลตอบแทนนั้นมีน้อย หรือไม่มี ก็อย่ารอช้าในการปรับเปลี่ยนสัดส่วน เพื่อป้องกันการถือครองสินทรัพย์ในระยะยาวในพอร์ต
ซึ่งการ Rebalance และ Revisit นั้น หากให้กล่าวโดยละเอียดแล้ว มีหลากหลายวิธีการด้วยกัน แต่โดยง่ายอาจใช้เกณฑ์ระยะเวลาเข้ามาช่วย เพื่อให้ง่ายต่อการจัดการดูแลก็สามารถทำได้ โดยระยะเวลาที่เหมาะสมนั้นอาจแนะนำที่ปีละ 2 ครั้ง หรือ ทุกๆ ครึ่งปีนั่นเอง เพื่อที่จะได้ไม่เป็นการปรับพอร์ตการลงทุน ทั้งในแง่ของ Rebalance หรือ ปรับเปลี่ยนสินทรัพย์ที่บ่อยมากจนเกินไป
เท่านี้พอร์ตการลงทุนของเราก็มีโอกาสเติบโตได้ ตามความชอบ ความใช่ ตามที่ใจเราต้องการ ในระยะยาวอย่างมั่นคง