เตรียมพร้อมวางแผนค่าเทอมลูกจนจบปริญญาตรี ด้วย ประกันยูนิตลิงค์ (Unit Linked)
การศึกษา คือหนึ่งในสิ่งที่พ่อแม่ทุกคนต่างต้องการส่งมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ลูกในฐานะของขวัญชิ้นสำคัญ เพราะเปรียบเหมือนการมอบรากฐานทางความคิด และองค์ความรู้ที่จะนำไปสู่การเติบโตอย่างมีคุณภาพ และประสบความสำเร็จได้ในที่สุด ซึ่งเราสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ช่วงหลักๆ คือ ช่วงปูพื้นฐาน คือช่วงอนุบาลไปจนถึงมัธยมต้น กล่าวได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่สำคัญยิ่ง เพราะการศึกษาในช่วงเวลานี้ คือการวางรากฐานทางความคิดของลูกให้เป็นระบบ พร้อมต่อการเรียนรู้ต่อยอดในเชิงลึก และเฉพาะด้านต่อไป

แน่นอนว่ายิ่งพ่อแม่ต้องการให้ลูกมีการศึกษาที่สูงมากขึ้นเท่าใด ต้องการให้เรียนมหาวิทยาลัยต่างประเทศ หรือในคณะที่มีการใช้เทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้องสูง ค่าใช่จ่ายก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว
ดังนั้นแล้วในการวางแผนจึงสำคัญอย่างมาก ทั้งในแง่ของเป้าหมายที่พ่อแม่อาจวางแผนให้ในช่วงปูพื้นฐานคือตั้งแต่อนุบาลจนถึงมัธยมต้น จากนั้นจึงค่อยเริ่มพูดคุยปรึกษากับลูกอย่างต่อเนื่องในช่วงมัธยมปลายเป็นต้นไป เพื่อให้มั่นใจว่าจะได้มอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูก พร้อมๆ กับมั่นใจได้ว่าลูกจะได้ศึกษาในสิ่งที่สนใจอย่างแท้จริง
มีแผนการศึกษาแล้ว วางแผนการเงินอย่างไรดี
ในมุมของการวางแผนทางการเงินแล้วจะประกอบด้วย 2 ด้านด้วยกันคือ
● ด้านป้องกันความเสี่ยง เพื่อให้มั่นใจว่าแม้เกิดเหตุคาดไม่ถึงกับพ่อแม่ ลูกก็จะยังได้ศึกษาตามเป้าหมายที่วางไว้ ซึ่งแน่นอนว่าอุปกรณ์ทางการเงินที่จะตอบโจทย์นี้ก็คือ ประกันชีวิต ซึ่งมีหลักคิดคือการใช้เงินน้อยปกป้องเป้าหมายใหญ่ เพราะธรรมชาติของประกันชีวิตนั้นคือการจ่ายค่าเบี้ยในจำนวนไม่มาก เพื่อสร้างความคุ้มครองต่อชีวิตมากกว่าค่าเบี้ยที่ชำระหลายเท่าตัว
● ด้านการลงทุน เพราะว่าเป้าหมายการศึกษานั้นเป็นเป้าหมายที่มีขนาดใหญ่ตามเงื่อนไขที่กล่าวข้างต้น หากพ่อแม่ต้องการให้ลูกเรียนสูงมากขึ้น ต้องการให้เรียนในสาขาวิชาที่ใช้เทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้องสูง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องการให้เรียนในต่างประเทศหรือโรงเรียนนานาชาติ ย่อมต้องมีการลงทุนเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะการลงทุนจะช่วยเพิ่มมูลค่าของเงินในระยะยาว ช่วยให้เงินออมเพื่อการศึกษาไปถึงเป้าหมายได้เร็วมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อค่าเล่าเรียนเหล่านั้นมักปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องตามอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นในแต่ละปี ทำให้การออมเงินโดยปราศจากการลงทุนมีแนวโน้มที่จะไม่ตอบโจทย์สูง เพราะไม่อาจไล่ตามเงินเฟ้อเหล่านั้นทัน
ข้อดีที่ ประกันยูนิตลิงค์ (Unit Linked) หรือประกันชีวิตควบการลงทุน ตอบโจทย์การวางแผนการศึกษาลูก
● ให้ผลตอบแทนดีในระยะยาว ในแง่ของการลงทุนนั้น เนื่องจากเป็นการลงทุนในกองทุนรวม ทำให้คุณพ่อคุณแม่มั่นใจได้ว่าเงินลงทุนนั้นมีโอกาสให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว จากการบริหารโดยผู้เชี่ยวชาญอย่างผู้จัดการกองทุน ซึ่งแน่นอนว่าผลิตภัณฑ์ ประกันยูนิตลิงค์ (Unit Linked) ก็จะคัดเลือกกองทุนอีกชั้น มาให้พ่อแม่ได้มีโอกาสลงทุน เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้
● มีความยืดหยุ่นในหลากหลายแง่มุม ทั้งความสามารถในการเบิกถอน ออกมาใช้ตามเป้าหมายในแต่ละช่วงเวลา เช่น เมื่อถึงเวลาต้องจ่ายค่าเทอม หรือ เป็นเงินขวัญถุงยามเรียนจบ ในอีกแง่ที่ประกอบเข้าไปกับความโปร่งใสในการเปิดเผยค่าใช้จ่ายต่างๆ ทำให้ ประกันยูนิตลิงค์ (Unit Linked) มีความสามารถในการเลือกความคุ้มครองที่เหมาะสมได้ตามช่วงเวลา เช่น เดิมทีเมื่อพ่อแม่ยังมีทุนประกันชีวิตต่ำ อาจเลือกให้ประกันยูนิตลิงค์ (Unit Linked) มีความคุ้มครองที่สูงเพื่อสร้างหลักประกัน แต่เมื่อเวลาผ่านไป พ่อแม่อาจทำประกันชีวิตเพิ่มเติม ทำให้มีหลักประกันการศึกษามากขึ้น หรือ อาจกังวลว่าทุนคุ้มครองที่มากเกินไป จนอาจทำให้เงินลงทุนมีโอกาสที่จะไปไม่ถึงเป้าหมายได้ พ่อแม่ก็สามารถปรับลดทุนประกันลงมา ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายด้านประกันชีวิตลดลง เพิ่มโอกาสให้ไปถึงเป้าหมายได้เร็วมากขึ้น
จัดพอร์ตยังไงให้เหมาะกับเป้าหมาย
○ ตราสารหนี้ ประมาณ 70-90% โดยอาจกระจายการลงทุนทั้งในตราสารหนี้ไทยและต่างประเทศ และเลือกกระจายลงทุนทั้งในตราสารหนี้อายุเฉลี่ยสั้น คู่กับตราสารหนี้ที่อายุเฉลี่ยยาว เพื่อรับโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าเงินเฟ้อ ไปพร้อมๆ กับกระจายความเสี่ยง โดยการกระจายลงทุนในลักษณะนี้ กลุ่มกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น จะเป็นเสมือนส่วนของสภาพคล่อง พร้อมๆ กับทำหน้าที่เป็นถุงลมนิรภัย ที่จะช่วยลดความเสี่ยงในภาพรวมลงมา แต่ก็ไม่อาจสร้างผลตอบแทนที่เหนือกว่าเงินฝากประจำมากเท่าใดนัก ขณะที่ตราสารหนี้ระยะยาวขึ้นมา จะทำหน้าที่เป็นเสมือนตัวเร่งผลตอบแทนเพื่อเอาชนะเงินเฟ้อ จากความสามารถในการให้ผลตอบแทนมากกว่าเงินฝากประจำทั่วๆ ไป เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่เหมาะสม เช่น ช่วงของการปรับลดอัตราดอกเบี้ย
ส่วน ตราสารทุนหรือหุ้น ที่มีจุดเด่นคือความสามารถในการสร้างผลตอบแทนที่สูงในระยะยาว จากการเป็นเจ้าของกิจการหนึ่งๆ ซึ่งมักเติบโตตามเศรษฐกิจโลกที่ขยายตัวอยู่เสมอในระยะยาว อย่างไรก็ตามสิ่งที่มาคู่กับโอกาสรับผลตอบแทนนั้นก็คือความผันผวนที่สูงเป็นเงาตามตัว จากวัฏจักรเศรษฐกิจและปัจจัยอื่นๆ ที่อาจเข้ามากระทบได้เป็นครั้งคราว ซึ่งอาจส่งผลให้ผลกำไรของบริษัทเปลี่ยนแปลงได้ และส่งผลต่อราคาหุ้นนั้นๆ และกองทุนที่ลงทุนของเราอีกทอดหนึ่ง
ในที่นี้ จึงขอแนะนำให้พ่อแม่ กระจายการลงทุนในตราสารทุนเพียง 10-30% ของพอร์ตการลงทุนเท่านั้น เพื่อทำหน้าที่เปรียบเสมือนคันเร่ง หรือกองหน้า เพิ่มผลตอบแทนไปอีกขั้นให้กับพอร์ตการลงทุนโดยรวม แต่ก็ไม่มากเกินไปจนกระทั่งส่งผลให้พอร์ตการลงทุนในภาพรวมเสียหายได้ โดยแนะนำให้เน้นลงทุนในกองทุนหุ้นทั่วโลกเป็นหลัก เพื่อให้มั่นใจได้ว่ามูลค่าของกองทุนหุ้นจะเติบโตตามภาวะเศรษฐกิจโลกในระยะยาว ไม่รับความเสี่ยงจากปัจจัยเฉพาะด้านของประเทศใดประเทศหนึ่งโดยเฉพาะ จนอาจทำให้เงินออมเพื่อการศึกษาในระดับอนุบาลถึงมัธยมต้นของคุณลูกนั้นตกอยู่ในความเสี่ยงมากเกินไปได้
● ช่วงต่อยอด หรือ ช่วงที่สอง ช่วงที่พ่อแม่ และลูกร่วมกันตัดสินใจ คือช่วงมัธยมปลายเป็นต้นไป ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานกว่าช่วงที่หนึ่งมาก คือจะเริ่มต้นตั้งแต่ลูกอายุ 13-14 ปีเป็นต้นไป ซึ่งหมายถึงการผ่านวัฎจักรเศรษฐกิจอย่างน้อย 1-2 วัฎจักร ดังนั้นแล้วพอร์ตการลงทุนในช่วงเวลานี้ จึงสามารถที่จะรับความเสี่ยงได้เพิ่มมากขึ้น เริ่มต้นที่พอร์ตความเสี่ยงระดับกลางขึ้นไปเพื่อคาดหวังการเติบโตตามการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาว เพิ่มโอกาสรับการศึกษาที่หมายปองเอาไว้ให้ได้มากยิ่งขึ้น ดังนี้
○ ตราสารหนี้ ยังคงเป็นส่วนสำคัญที่เหมาะแก่กระจายการลงทุน เพื่อกระจายความเสี่ยง และลดความผันผวนในพอร์ตการลงทุนลงมา อย่างไรก็ตาม หากลงทุนในตราสารหนี้มากเกินไป อาจหมายถึงผลตอบแทนพอร์ตที่ต่ำ และอาจไปไม่ถึงเป้าหมายที่วางได้ ทำให้พอร์ตการลงทุนนี้จึงแนะนำสัดส่วนแค่ประมาณ 10-40% เท่านั้น และเช่นเดียวกับพอร์ตช่วงปูพื้นฐานการกระจายลงทุนในตราสารหนี้ทั้งไทยและต่างประเทศ รวมไปถึงตราสารหนี้ระยะสั้นและยาวยังคงเป็นสิ่งที่ควรกระทำอยู่
○ ตราสารทุน ควรจะมีสัดส่วนที่ 40-70% เพื่อรับโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว พร้อมด้วยการกระจายการลงทุนในกองทุนหุ้นทั้งทั่วโลกเป็นหลัก เสริมด้วยกองทุนรวมหุ้นตลาดเกิดใหม่ที่มีโอกาสเติบโตสูงบางส่วน เพื่อทำหน้าที่เร่งผลตอบแทนโดยรวม แต่ไม่รับความเสี่ยงมากเกินไปเช่นเดียวกัน
○ ตราสารทางเลือก อาทิ กองทุนรวมทองคำ, กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ควรมีสัดส่วนการลงทุนที่ประมาณ 5-15% พอร์ต จากความสัมพันธ์ของการเคลื่อนไหวของราคาเมื่อเทียบกับกองทุนหุ้นที่ต่ำทำให้เหมาะแก่กระจายความเสี่ยง แต่ผลตอบแทนที่คาดหวังอาจไม่สูงนักเมื่อเทียบกับกองทุนหุ้นในระยะยาว
การลงทุนในช่วงที่สองนั้นจะเห็นได้ว่ามีสัดส่วนที่แนะนำค่อนข้างกว้าง ดังนั้นแล้ว พ่อแม่อาจพิจารณาเรื่องของผลตอบแทนที่ต้องการคู่กับความผันผวน โดยยึดหลักว่ายิ่งลงทุนในกองทุนหุ้นมากยิ่งคาดหวังผลตอบแทนได้สูง แต่โอกาสขาดทุนก็เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว เพื่อให้ได้พอร์ตการลงทุนที่เหมาะสมกับตนเองมากที่สุด ไม่เสี่ยงเกินกว่าที่ตนรับได้ไปพร้อมๆ กับรับโอกาสจากการลงทุนเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายในระยะยาว